วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557
ครอบครัวอบอุ่น
เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นคนเก่งและดี
โลกของเราทุกวันนี้เล็กลงไปถนัดใจ
การเปลี่ยนแปลงภายนอกประเทศมีผลกระทบต่อสภาพเศรษฐกิจและสังคมในประเทศอย่างรวดเร็ว ความอยู่รอดของครอบครัว
สังคมและประเทศจึงขึ้นอยู่กับพ่อแม่ว่ามีความรู้ ความสามารถ
และความดีมากน้อยแค่ไหนในการเลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่งและคนดี
การเลี้ยงลูกให้เป็นคนดีควบคู่กับการเป็นคนเก่งเป็นเรื่องใหญ่ ที่พ่อแม่จะไม่สนใจศึกษาหาความรู้ไม่ได้อีกแล้ว
เก่งแต่ไม่ดีก็ไปไม่รอด ดีแต่ไม่เก่งก็ไม่ทันโลก ต้องทั้งเก่งและดีจึงจะทันโลก และพาส่วนรวมไปรอด
บางครอบครัว พ่อก็เป็นคนดี แม่ก็เป็นคนดี
ลูกก็เป็นเด็กฉลาดแต่พ่อแม่เลี้ยงลูกไม่เป็น
ผลสุดท้ายลูกกลับกลายเป็นเด็กมีปัญหาโดยที่พ่อแม่ก็หาสาเหตูไม่เจอว่าตนเองบกพร่องตรงไหน
ครอบครัว ๔ ประเภท
การที่พ่อแม่จะเลี้ยงลูกให้เป็นคนคนเก่งและคนดีได้ ต้องมีสิ่งสำคัญ ๒
ประการนี้ให้แก่ลูกอย่างต่อเนื่อง
๑) ความรู้ในการเลี้ยงลูกให้เป็นคนเก่งและคนดี
๒) เวลาสำหรับการสั่งสอน-ฝึกฝน-อบรมลูกให้เป็นคนเก่งและดี
แต่เพราะพ่อแม่บางครอบครัวก็สามารถให้สิ่งสำคัญ
๒ ประการนี้ได้ไม่เท่ากัน
ทุกวันนี้เราจึงได้เห็นครอบครัว ๔ ประเภทเกิดขึ้นในสังคม
ประเภทที่
๑ มีเวลา แต่ไม่มีความรู้
ประเภทที่ ๒ มีความรู้
แต่ไม่มีเวลา
ประเภทที่ ๓ ไม่มีความรู้
และไม่มีเวลา
ประเภทที่
๔ มีความรู้ และมีเวลา
ครอบครัว
๓ ประเภทแรก เป็นครอบครัวที่ลูกได้รับการอบรมสั่งสอนให้เป็นคนดีน้อยมาก แม้อยู่ในครอบครัวที่มีฐานะเงินทองดี แต่ก็เหมือนถูกปล่อยไปตามยถากรรม ลูกมีโอกาสที่จะเสียคนได้มาก เพราะมีเวลาออกนอกลู่นอกทางโดยที่พ่อแม่ไม่รู้ตัว
ครอบครัวประเภทที่ ๔ เป็นครอบครัวที่ลูกได้รับการถ่ายทอดทั้งความรู้ความสามารถ และความดีอย่างเต็มที่
เพราะพ่อแม่ให้ทั้งความรู้และเวลาแก่ลูกอย่างต่อเนื่อง ไม่ปล่อยลูกไปตามยถากรรม แม้ฐานะทางเศรษฐกิจอาจจะไม่ดี แต่ลูกย่อมมีความสามารถในการสร้างหลักฐานชีวิตของตนเองได้อย่างแน่นอน
ยกตัวอย่างเช่น นิสัยที่เกิดจากการใช้ปัจจัย ๔
เด็ก ๓ คน
แม่ให้นมในเวลาที่ไม่เหมือนกัน
ก็ได้นิสัยไม่เหมือนกัน
เด็กคนแรก แม่ให้นมไม่เป็นเวลา
พอเด็กหิวไม่ได้กินต้องร้องไห้เกรี้ยวกราด
เด็กจึงได้นิสัยเจ้าโทสะ ต้องอาละวาดก่อนจึงจะได้กิน แล้วก็ติดนิสัยว่าอยากได้อะไร ต้องประถ้วง
ต้องทำลาย เหมือนพ่อแม่ได้ ลูกเสือมาเลี้ยงไว้
เด็กคนที่สองแม่ไห้นมตลอดเวลา แม้เด็กไม่หิวนมก็ไหลเข้าปากของเด็กเอง เด็กก็เลยตัวอ้วนอารมณ์ดี แต่เข็นไม่ขึ้น เพราะเฉื่อยแฉะ ขี้เกียจเหมือนพ่อแม่ได้ลูกหมูมาเลี้ยงไว้
เด็กคนที่สาม แม่ให้นมเป็นเวลา ได้นิสัยตรงต่อเวลา สุขภาพแข็งแรง
มีเหตุมีผล อารมณ์ดี รับผิดชอบ
ตัดสินใจดี เลี้ยงง่าย เหมือนได้บัณฑิตนักปราชญ์มาอยู่ในบ้าน
เพราะฉะนั้นบ่อเกิดนิสัยดีและเลวของลูกก็มาจากการฝึกให้ลูกคิดย้ำพูด ทำ
ผ่านปัจจัย ๔ ผ่านงานที่ทำ และผ่านกิจวัตรประจำวันในทางดีหรือเลวนั่นเอง
ถ้าพ่อแม่จะเพาะคุณสมบัติของลูกที่ดี คือ
ไม่โง่ ไม่แสบ ไม่แล้งน้ำใจให้แก่ลูกรัก ก็ต้องฝึกความเคารพ ความมีระเบียบวินัย และความอดทน
โดยฝึกผ่านปัจจัย ๔ ที่ลูกใช้
ฝึกผ่านงานที่ลูกรับผิดชอบ
และฝึกผ่านกิจวัตรประจำวันของลูก
นิสัยที่ดี คือ ไม่โง่
ไม่แสบ
ไม่แล้งน้ำใจก็จะเกิดขึ้นมาประจำตัวลูกอย่างแน่นอน
ปัญญาทางธรรม คือ
ปัญญาที่ใช้สำหรับการตัดสินถูก-ผิด
ชั่ว-ดี บุญ-บาป ควร-ไม่ควรทำซึ่งเด็กจะต้องได้อาศัยจากการศึกษาคำสอนในพระพุทธศาสนา
และฝึกภาคปฏิบัติด้วยการที่พ่อแม่นำลูกทำความเคารพปู่ย่าตายาย เพื่อรับฟังโอวาท ฟังข้อคิดประสบการณ์ ความทันโลก
ทันชีวิต ทันคนจากผู้ใหญ่
แหล่งปัญญาทางธรรมที่เคารพแล้วจะทำให้เกิดปัญญา มี ๗ แหล่งคือ
เคารพในพระพูทธ
เคารพในพระธรรม
เคารพในพระสงฆ์
เคารพในการศึกษา
เคารพในการฝึกสมาธิ
เคารพในความไม่ประมาท
เคารพในการปฏิสันถาร
แหล่งปัญญาทางธรรมทั้ง ๗ ประการนี้
ยิ่งฝึกให้เด็กมองเห็นคุณค่าและคุณประโยชน์ตามความเป็นจริงได้ออกมามากเท่าไหร่ ปัญหาทางธรรมของเด็กก็จะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น
ถ้าเด็กคนไหนได้พ่อแม่ที่ศึกษาธรรมมะจากแหล่งปัญญาทางธรรมทั้ง ๗
ประการนี้เพื่อเตรียมตัวมาสอนลูกตั้งแต่ก่อนแต่งงานแล้ว ก็จะโชคดีมากๆ
คือ
พ่อแม่ก็จะได้ลูกมีบุญมาเกิดเป็นบัณฑิตนักปราชญ์ในบ้านและลูกก็จะได้พ่อแม่ที่เป็นแหล่งปัญญาทางธรรมรอคอยอยู่แล้ว วงศ์ตระกูลนี้
ก็จะมีแต่บัณฑิตนักปราชญ์มาเกิดเป็นลูกหลาน เพื่อมาสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้แก่วงศ์ตระกูล
เลี้ยงลูกอย่างไรให้ไม่แสบ
เด็กที่จะไม่แสบนั้น
พ่อแม่ก็ต้องฝึกเด็กให้มีวินัยทั้งทางโลกและทางธรรมผ่านการใช้ปัจจัย ๔
ผ่านงานในบ้านและผ่านกิจวัตรประจำวันโดยพ่อแม่ต้องทำให้ลูกดูเป็นตัวอย่างก่อน
วินัยทางโลกมี ๔ ข้อได้แก่
๑. วินัยต่อคำพูด
๒. วินัยต่อเวลา
๓. วินัยต่อความสะอาด
๔. วินัยต่อความเป็นระเบียบ
เลี้ยงลูกอย่างไรให้ไม่แล้งน้ำใจ
เด็กที่จะไม่แล้งน้ำใจนั้น
ต้องถูกฝึกให้เป็นคนที่พึ่งตนเองได้ก่อนจึงจะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ ซึ่งเรื่องนี้พ่อแม่ต้องฝึกลูกให้มีความอดทนติดตัวไปถ้าดูผิวเผินเด็กที่ไม่แสบไม่โง่
ก็น่าจะพอเป็นคนดีได้แร้วแต่ความจริงคือไม่พอ เพราะเกิดเป็นคนแล้ว ต้องให้ประโยชน์ส่วนรวมด้วย ยกตัวอย่างเช่น
ถ้าเราปลูกมะม่วงไว้ต้นหนึ่งรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ยผ่านมาสิบปีปรากฏว่ามะม่วงก็ไม่ออกผลให้กินเสียทีในที่สุดก็ต้องโค่นต้นมะม่วงนั้นทิ้ง
อ้างอิง:พระสูตรและอรรถกถาแปล อังคุตรนิกาย
จตุกนิบาต เล่มที่ ๓๕.
กรุงเทพฯ:
โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย,๒๕๒๕
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)